อันตรายจากภาชนะกล่องโฟมบรรจุอาหาร... สะดวกสบายแต่เป็นภัยกว่าที่คิด !!
ในบ้านเรานั้น โฟมเป็นหนึ่งในบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการบรรจุอาหาร ใช้เป็นกล่องใส่ข้าวกล่อง อาหารกล่อง รวมถึงขนมและผลไม้ เนื่องจากกล่องโฟมมีราคาถูกมาก ซื้อหาง่าย และใช้งานง่าย กล่องโฟมจึงได้รับความนิยมแพร่หลายมาอย่างยาวนาน แต่ในความสะดวกสบายนั้นก็มีอันตรายจากกล่องโฟมและผลเสียจากกล่องโฟมอยู่ไม่น้อย
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโฟมทั่วไปกันเล็กน้อย “โฟม” ที่เราใช้กันทั่วไปนั้นคือพลาสติกชนิดหนึ่งที่ผลิตจากสารประกอบโฮโดรคาร์บอนจากการผลิตปิโตรเคมี และนำมาผ่านกระบวนการในการทำให้ขยายตัวเพื่อให้มีความฟูและเบา ซึ่งมักจะทำมาจากโพลีสไตรีน (Polystyrene) ซึ่งได้จากการผลิตปิโตรเคมี
พลาสติกโพลีสไตรีนนั้น ได้แบ่งออกตามลักษณะของกระบวนการผลิตได้ 2 ชนิด คือ
1 Expanded Polystyrene (EPS) ผลิตโดยการใช้ใช้ก๊าซ Pentane เป็นสารที่ทำให้เกิดการขยายตัวและพองฟูขึ้นเมื่อได้รับความร้อนจากไอน้ำ พอลิสไตรีนก็จะขยายตัวกลายเป็นเม็ดโฟมขาวๆ จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูปตามลักษณะของแม่พิมพ์ที่ต้องการ เช่น โฟมกล่องน้ำแข็ง หมวกกันน็อคม โฟมแผ่น และโฟมก้อนที่ใช้ทำถนน เป็นต้น
2 Polystyrene Paper Foam (PSP) ใช้ก๊าซ Butane หรือที่เรารู้จักกันนั่นก็คือ ก๊าซหุงต้มนั่นเอง โดยนำไปผ่านกระบวนการความร้อนทำให้พลาสติกพอลิสไตรีนหลอมตัว แล้วฉีดออกเป็นแผ่นคล้ายม้วนกระดาษ จากนั้นก็จะสามารถนำม้วนโฟม PSP เพื่อไปขึ้นรูปตามลักษณะของแม่พิมพ์ในการใช้งานต่างๆ เช่น กล่องโฟมบรรจุอาหาร ถ้วยโฟมใส่อาหาร หรือถาดอาหาร เป็นต้น
กล่องโฟมบรรจุอาหารที่ทุกคนรู้จักคุ้นเคยและคงได้มีการใช้งานกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยเพราะร้านอาหารต่างๆ ทั่วไปจากมีใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งข้าวกล่อง อาหารกล่อง ผลไม้ รวมไปถึงขนม ด้วยความสะดวก หาซื้อง่ายและราคาไม่แพงจึงทำให้อาหารกล่องโฟมได้รับความนิยมค่อนข้างมาก แต่ความสะดวกนั้นมักมาพร้อมกับอันตรายแผง ที่เกิดขึ้นจากโฟมบรรจุอาหาร ตั้งแต่การเริ่มต้นในขั้นตอนการผลิด การนำมาใส่อาหาร รวมไปถึงการใช้เสร็จแล้วจนกลายเป็นขยะ จึงทำให้มีงานวิจัยต่างๆ มากมายที่ว่าด้วยเรื่องความอันตรายจากสารเคมีภายในโฟมบ่อยครั้ง พร้อมด้วยพิษภัยที่สร้างปัญหาตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนทำให้คนทั่วไปเกิดความตระหนักในเรื่องการใช้โฟมมาเป็นบรรจุภัณฑ์อาหารกันมากขึ้น และมีการคิดค้นบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ปลอดภัยกว่าเดิมมาใช้งานแทน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้โฟมก็ยังคงเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม เพราะมีราคาถูก ใช้งานง่าย ทำให้การใช้โฟมอาจกลับมาสร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนไทยอีกครั้ง โดยพิษภัยของกล่องโฟมใส่อาหารที่คุณควรรู้ คือ
1.เสี่ยงมะเร็งมากกว่าคนปกติ 6 เท่า
โฟมถูกผลิตมาจากโพลิเมอร์ชนิดโพลิสไตรีน (Polystyrene) พร้อมด้วยส่วนผสมที่มีทั้งเบนซินและโมเลกุลที่คล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง ซึ่งถ้าพูดกันแบบตรงๆ คือ กล่องโฟมนั้นเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาจากของเสียในขั้นตอนการกลั่นน้ำมันเป็นของเหลือที่ถูกกลั่นแล้วทิ้ง แต่ด้วยความที่ยังสามารถขึ้นรูปและนำมาทำเป็นโฟมได้ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงเหมือนกับบรรจุภัณฑ์ที่มาจากวัสดุอื่น จึงทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่โฟมกลับมีปฏิกิริยากับความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส โดยจะปล่อยสารสไตรีนกับเบนซินออกมาปะปนกับอาหาร ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มสารตั้งต้นของมะเร็งที่ให้ความเสี่ยงสูงถึง 6 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานกล่องโฟมเป็นกล่องบรรจุอาหารเพื่อรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ซึ่งในบ้านเราผู้ที่รับประทานข้าวกล่องโฟมอาหารกล่องโฟมมีจำนวนสูงมากจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับ และมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
2.ส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท
สไตรีนไม่ได้ส่งผลเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเท่านั้น แต่ยังเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนปลายด้วย จึงทำให้เกิดปัญหาสมาธิสั้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยจะเริ่มออกอาการมึนงง สมองเบลอ จำอะไรไม่ค่อยได้ จนอาจลุกลามสู่การเป็นโรคสมองเสื่อม ยิ่งไปกว่านั้นคืออาจจะทำให้การเคลื่อนไหวมีปัญหาและไม่สามารถทรงตัวได้ตามปกติ ประสาทส่วนกล้ามเนื้อต่างๆ ภายในร่างกายก็ถูกลดประสิทธิภาพลง จึงทำให้อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
3.ทำให้เกิดการปนเปื้อนในอาหาร
เมื่อความร้อนจากการทำอาหารสูงเกินกว่า 70 องศาเซลเซียส ก็แน่นอนว่าสไตรีนและเบนซินจะละลาย พร้อมไหลออกมาแล้วเข้าไปปนเปื้อนในอาหารทุกชนิดที่ใช้กล่องโฟมเป็นบรรจุอาหาร ไม่ว่าจะนำใบตองหรือกระดาษมารองไม่ให้อาหารต้องสัมผัสกับโฟมโดยตรง ก็ไม่สามารถช่วยได้ ยิ่งถ้าใช้พลาสติกรองอาหารบนโฟมก็ยิ่งเพิ่มความอันตรายเป็น 2 เท่า เพราะเมื่อใดที่อาหารยังคงร้อนและมีไขมันในอาหาร สไตรีนก็เข้าไปปนเปื้อนได้เช่นกัน รวมไปถึงการนำกล่องโฟมบรรจุอาหารไปอบในไมโครเวฟก็จะเป็นตัวเร่งให้สารเบนซินและสไตรีนไหลเข้าสู่อาหารได้ง่าย แถมรวดเร็วกว่าเดิมเนื่องจากกล่องอาหารโฟมจะถูกความร้อนโดยตรงทำให้ปะปนอยู่ในอาหารจำนวนมาก และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือไข่ไก่ดิบที่ยังมีเปลือกห่อหุ้ม เมื่อวางอยู่บนโฟมหรือแผงไข่ที่เป็นพลาสติกก็สามารถปนเปื้อนสารทั้ง 2 ชนิดนี้ได้เช่นกัน
4.ทำลายอวัยวะภายใน
เรื่องที่น่ากลัวที่สุดของการใช้กล่องโฟมเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์อาหาร คือ การเข้าไปสะสมในร่างกายจนมีปริมาณมากพอที่จะทำลายอวัยวะภายในได้ พิษของสไตลรีนจะเข้าไปจับกระดูก ตับ ไต และหัวใจ จากนั้นก็จะเริ่มทำลายไปเรื่อยๆ พร้อมแสดงอาการให้เห็นคือผิวแห้งแตกแบบไม่มีเหตุผล, ผู้หญิงเริ่มประจำเดือนมาผิดปกติ, มีอารมณ์ฉุนเฉียวโกรธง่าย, หัวใจเต้นเร็วหรือบีบตัวแรงผิดปกติ, กระเพาะอาหารถูกทำลายจนเกิดอาการปวดท้องรุนแรง แล้วอาเจียนออกมาเป็นเลือด, เกิดอาการชักแบบไม่มีสาเหตุ และสุดท้ายคืออาจทำให้เสียชีวิตในเวลาที่รวดเร็ว เป็นต้น ส่วนผู้ที่ได้รับสารสไตรีนในปริมาณที่ไม่สูง แต่รับมาเรื่อยๆ สไตรีนก็จะถูกสะสมอยู่ในเลือด จนทำให้เกิดปัญหาเม็ดเลือดแดงลดลงจนเหลือแต่เม็ดเลือดขาว จึงเกิดการทำลายภูมิคุ้มกันตัวเองและอาจร้ายแรงไปจนถึงขั้นทำลายไขกระดูกเลยทีเดียว
5.สร้างมลภาวะที่ร้ายแรง
กล่องโฟมใส่อาหารไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังทำให้สภาพแวดล้อมและสัตว์ทุกชนิดต้องได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะขั้นตอนการผลิตนั้นจะมีการปล่อยของเสียออกมาทั้งทางน้ำและทางอากาศ เมื่อนำมาใช้งานแล้วทิ้งเป็นขยะก็ต้องรอให้สลายไปเองตามธรรมชาติถึง 450 ปี ในขณะเดียวกันที่คนทิ้งก็มีมากขึ้น จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาขยะกล่องโฟมล้นโลก เกิดเป็นการสะสมเป็นอันตรายต่อธรรมชาติที่พร้อมปล่อยสาร CFC ออกมาทำลายชั้นบรรยากาศได้ ด้วยความน่ากลัวนี้จึงทำให้หลายประเทศออกมาต่อต้านและสั่งห้ามการใช้โฟมที่ผลิตจากสารสไตรีนอย่างเด็ดขาด
การใช้งานกล่องโฟมบรรจุอาหารประเภทข้าวกล่องและอาหารกล่องนั้นมีราคาแสนถูก ผลิตง่าย ต้นทุนต่ำ แต่กลับทิ้งความอันตรายไว้เบื้องหลังอย่างมากมายนี้ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานข้าวกล่องอาหารกล่องจากกล่องโฟมเป็นประจำ บางท่านเกือบทุกวันซึ่งจะเกิดการสะสมทีละน้อยเป็นระยะเวลานานหลายปี อาจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพถึงแม้กล่องโฟมบบางตัวจะมีการละลายและปนเปื้อนที่ต่ำมาก การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดอื่นนั้นอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ใส่อาหาร ที่ทนทานต่อความร้อนได้ดี อย่างชานอ้อย, กล่องมันสำปะหลัง หรือกล่องเยื่อไผ่ที่ถูกนำมาผลิตเป็นไบโอโฟมเพื่อทดแทนการใช้งานของกล่องโฟมโดยเฉพาะ ซึ่งราคาของบรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติอาจจะแพงกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่สร้างภาระเรื่องโรคร้ายให้กับผู้บริโภคและไม่ทำลายสภาพแวดล้อมให้ต้องเสียหาย จนอาจก่อให้เกิดภัยร้ายต่างๆ ตามมาในอนาคต หรือจะเปลี่ยนมาเป็นการใช้บรรจุภัณฑ์อย่างกล่องข้าว, จานเซรามิค และกล่องพลาสติก PP (โพลิโพรพิลีน) คุณภาพสูงทนความร้อนและสามารถในไปอุ่นในเครื่องไมโครเวฟได้ด้วยซึ่งสามารถนำมา Recycle ได้ง่ายกว่าโฟมมาก แบบนี้ก็จะช่วยลดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและขยะล้นโลกได้ดีเลยทีเดียว
เครื่องเทศฝรั่ง เคล็ดลับความอร่อยสไตล์อาหารตะวันตก ตอนที่ 2
เครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการปรุงอาหารให้อร่อย เพิ่มกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ความหอมละมุนและดึงดูดใจ โดยเครื่องเทศนั้นมักมีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพร่างกาย วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จัก 5 เครื่องเทศฝรั่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในการปรุงอาหารไทยและเทศให้อร่อยทุกเมนู ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาหารปรุงสดในร้านอาหารมีระดับรวมทั้งในเมนูข้าวกล่องอาหารกล่องก็ใช้กัน พร้อมแล้วเรามาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. พริกไทย (Pepper)
พริกไทย พืชสมุนไพรยอดนิยมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชาแห่งเครื่องเทศ มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Piper nigrum เป็นพืชในวงศ์ Piperaceae เป็นพืชประเภทเถาเลื้อยซึ่งในการปรุงอาหารนั้น เราจะใช้ส่วนของเมล็ดที่มีรสชาติที่จัดจ้านและเผ็ดร้อน กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นเครื่องเทศที่มีการค้าขายมากที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย สามารถช่วยดับกลิ่นคาวได้อย่างดีเยี่ยม รับประทานได้ทั้งรูปแบบแห้งและสด เป็นเครื่องเทศที่ถูกนำไปประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทั้งเป็นพริกไทยป่นโรยหน้าตาอาหาร เป็นเครื่องปรุงสำหรับหมักเนื้อสัตว์ต่างๆ สเต็กพริกไทยดำ สปาเก็ตตี้ ไก่อบ ข้าวผัดหรือซอสพริกไทยดำ เป็นต้น ซึ่งมักใช้ควบคู่กับเกลือโดยใช้เป็นเครื่องปรุงบนโต๊ะอาหารด้วย
โดยปกตินั้น พริกไทยที่นิยมใช้กันจะมี 3 รูปแบบคือ พริกไทยดำ พริกไทยขาวหรือที่เรียกกันว่าพริกไทยล่อน และพริกไทยสดหรือพริกไทยเขียว โดยทั้ง 3 ชนิดนั้นมาจากผลของต้นพริกไทยเดียวกัน มิใช่คนละสายพันธุ์อย่างที่หลายท่านเข้าใจผิด
1 พริกไทยดำ คือ เมล็ดพริกไทยที่มีขนาดโตเต็มที่แต่ยังไม่สุก นำมาตากจนเมล็ดแห้งและเหี่ยว มีสีดำและมีกลิ่นหอม
2 พริกไทยขาว คือ เมล็ดพริกไทยที่สุกและแก่จัดจนผลเริ่มเป็นสีแดง นำไปแช่น้ำเพื่อล่อนเปลือกออกให้เหลือแต่เมล็ดภายในก่อนนำไปตากแห้ง จึงเป็นที่มาของคำว่าพริกไทยล่อน
3 พริกไทยสด คือ เมล็ดพริกไทยที่ยังสดอยู่ มีสีเขียว
นอกจากนี้พริกไทยยังมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้หลายอย่าง ทั้งกลิ่นหอมฉุนที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัว กระตุ้นสมองและพละกำลัง ช่วยแก้ปัญหาอาการอ่อนเพลีย บำรุงระบบย่อยอาหาร ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง รักษาโรคกระเพาะ บำรุงระบบลำไส้และลดอาการอักเสบ
สำหรับข้อมูลพริกไทยเพิ่มเติม สามารถดูได้ในลิ้งค์ด้านหลังนี้ พริกไทย ราชาแห่งเครื่องเทศ
2. กระเทียม (Garlic)
กระเทียม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum อยู่ในตระกูลเดียวกับหัวหอม หอมใหญ่และต้นหอม เป็นเครื่องเทศที่ขาดไม่ได้สำหรับการปรุงอาหาร พบได้มากเกือบในหลายเมนู มีรสชาติที่เผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุน มีต้นกำเนิดในแถบเอเซียกลาง มีการใช้แพร่หลายไปทั่วโลกมาหลายพันปีตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ในปัจจุบัน กว่า 80% ของปริมาณกระเทียมที่ปลูกกันทั่วโลกนั้นมาจากประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ปลูกกระเทียมมากที่สุดของโลก ในประเทศไทยนิยมปลูกกันมาทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในการทำอาหารได้เป็นอย่างดี รวมถึงช่วยเพิ่มความเข้มข้นและรสชาติกลมกล่อม สำหรับเมนูอาหารที่นิยมใช้กระเทียมนั้นก็สามารถพบได้หลากหลาย โดยกระเทียมนั้นมักใช้ควบคู่กับพริกไทยในอาหารฝรั่ง
กระเทียม อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย มียับยั้งการเกิดมะเร็งและป้องกันโรคหัวใจ ช่วยรักษาแผลสดและแผลเรื้อรัง ช่วยควบคุมไขมันในเส้นเลือด รักษาอาการไข้หวัด บำรุงระบบโลหิตและบรรเทาอาการไอ อีกทั้งยังช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ ได้อีกด้วย
3. ผักชี (Coriander or Cilantro)
ผักชี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coriandrum sativum ผักชีเป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นพืชล้มลุกที่มีสีเขียวทั้งต้น บริเวณรากเป็นสีขาว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินเดีย เอเชียตะวันตกและเมดิเตอร์เรเนียน นิยมปลูกในประเทศโมร็อกโก และ อินเดีย รวมถึงเมืองไทย ผักชีมีกลิ่นหอมที่โดดเด่นเฉพาะตัว สามารถใช้ปรุงอาหารได้ทั้งต้นรวมทั้งเมล็ด นิยมนำไปปรุงเมนูและประกอบอาหารหลากหลายชนิดทั้งในอาหารตะวันตกและตะวันออก เป็นพืชที่มาการใช้มาอย่างยาวนานทั้งในยุคกรีก โรมัน รวมทั้งจีนสมัยโบราณ
นอกจากนี้ ผักชี ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างทั้งช่วยบรรเทาอาการหวัดและอาการไอ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยรักษาอาการปวดท้องและอาหารเป็นพิษ บำรุงธาตุภายในร่างกาย ช่วยเพิ่มความเจริญอาหาร รักษาริดสีดวง แก้อาหารบิด อาเจียนและคลื่นไส้
4. ผักชีลาว หรือ ผักดิล (Dill)
ผักชีลาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Anethum graveolens Linn. พืชล้มลุกที่อยู่ในตระกูลเดียวกันกับผักชี ลำต้นมีสีเขียวเข้ม ใบเป็นฝอย มีดอกสีเหลืองและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่ส่วนยอดไปจนถึงราก มีถิ่นกำเนิดจากทางตะวันออกจากยุโรป ทวีปเอเชีย ตอนใต้ของรัสเซียและแถมเมดิเตอร์เรเนียน นิยมนำส่วนของลำต้นและใบไปประกอบอาหาร สามารถทานได้ทั้งแบบสดและแบบที่ปรุงเสร็จแล้ว รวมถึงการนำไปประดับตกแต่งเมนูอาหารต่างๆ ผักโรยหน้าอาหารฝรั่ง สำหรับเมนูที่ใช้ Dill ในการปรุงอาหารก็มีหลากหลายทั้งซอสต่างๆ สลัดและผักโรยหน้า เป็นต้น
ผักชีลาว มีสารสารลิโมนีน ช่วยในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง รวมถึงมีสรรพคุณในการขับลม ลดอาการแน่นท้อง ปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บรรเทาอาการไอและบำรุงระบบย่อยอาหาร
5. เสจ (Sage)
เสจ ถึงแม้คนไทยจะไม่ค่อยคุ้นหูมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องเทศฝรั่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก Sage มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Salvia officinalis จัดเป็นพืชกึ่งพุ่ม ลำต้นฉ่ำน้ำและใส มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรปและเขตเมดิเตอร์เรเนียน นิยมปลูกในแถบอเมริกาเหนือ มีกลิ่นฉุนคล้ายกับพริกไทย รสชาติเผ็นร้อน มักใช้ปรุงอาหารควบคู่กับสมุนไพรชนิดอื่นๆ และเข้ากับอาหารที่มีความมันได้อย่างลงตัว มักจะนำไปประกอบอาหารประเภท เมนูหมู พาสต้า สปาเก็ตตี้ พิซซ่า และแกงต่างๆ
เสจ มีสรรพคุณในการช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด ช่วยเพิ่มการเจริญอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำและสมาธิ ลดอาการปวดศีรษะ อาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ แก้อาหารท้องเสีย ท้องแน่นเฟ้อ รวมถึงยังช่วยรักษาอาการอักสบทางผิวหนังได้เป็นอย่างดี
สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับเครื่องเทศฝรั่ง ตอนที่ 1 ในด้านล่างนี้:
เครื่องเทศฝรั่ง เคล็ดลับความอร่อยสไตล์อาหารตะวันตก ตอนที่ 1
เครื่องเทศฝรั่ง เคล็ดลับความอร่อยสไตล์อาหารตะวันตก ตอนที่ 1
เครื่องเทศที่เราใช้ปรุงอาหารนั้นเป็นตัวกำหนดลักษณะเฉพาะของรสและกลิ่นที่โดดเด่นของอาหารประจำชาติหรือสไตล์นั้นๆ เครื่องเทศและสมุนไพรต่างๆของอาหารแต่ละสไตล์มักจะแตกต่างและขึ้นอยู่กับสภาพภูมิศาสตร์ สภาพอากาศและสภาพแวดล้อม เครื่องเทศประจำถิ่นจึงเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมการรับประทานของผู้คนในแถบนั้นเลยทีเดียว
ในบทความนี้เราจะทำความรู้จักกับ 5 เครื่องเทศยอดนิยมที่ใช้ปรุงอาหารสไตล์ตะวันตกหรือที่บ้านเรามักเรียกว่าเครื่องเทศฝรั่งที่ใช้กันทั้งในร้านอาหารระดับดีรวมทั้งร้านอาหารทั่วไปและในข้าวกล่องอาหารกล่องด้วย เรามาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. โรสแมรี่ (Rosemary)
โรสแมรี่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rosmarinus officinalis เป็นพืชสมุนไพรที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งส่วนมากอยู่ในทวีปยุโรป จัดเป็นพืชยืนต้นอยู่ในวงศ์มิ้นต์หรือกระเพรา Lamiaceae โรสแมรี่นั้นสามารถทนความแห้งแล้งและแดดได้ดี ปลูกมากแถบประเทศฝรั่งเศส สเปน โมร็อกโค และตูนีเซีย โรสแมรี่มีกลิ่นที่หอมและแรงมาก โรสแมรี่นั้นมีชื่อมาจากภาษาละตินจากคำว่า หยดน้ำแห่งท้องทะเล (หยดน้ำ (ros) และคำว่าท้องทะเล (marinos)) ใบของโรสแมรี่นั้นมีลักษณะเรียวคล้ายกับเข็ม มีความยาวประมาณ 2–4 เซนติเมตรและกว้าง 2–5 มิลลิเมตร มีสีเขียวตลอดทั้งปี ส่วนดอกของโรสแมรี่จะมีหลายสีทั้ง สีชมพู สีม่วง สีฟ้าและสีขาว มักมีการใช้เป็นเครื่องเทศหมักเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นแรงเช่นแกะ และทำเสต็ก รวมทั้งใช้เป็น ผักโรยหน้าอาหารฝรั่ง ตกแต่งจาน
2. ไทม์ (Thyme)
ไทม์ เป็นเครื่องเทศที่ขาดไม่ได้เลยในอาหารฝรั่ง เป็นสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป แถบเมอดิเตอเรเนียนและมักใช้กันมากในอาหารสไตล์เมอดิเตอเรเนียนโดยมีประวัติการใช้เมื่อหลายพันปีก่อนตั้งแต่ยุคกรีกและโรมัน ไทม์มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ส่วนของลำต้นจะทอดเลื้อยไปตามหน้าดิน แตกกิ่งก้านอย่างแน่นหนา ใบมีสีเขียวขนาดเล็ก ไทม์ จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โดดเด่นเฉพาะตัว โดยไทม์นั้นมีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือ Thymus vulgaris หรือที่มักเรียนว่า Common Thyme, Winter Thyme, Summer Thyme English Thyme หรือ French Thyme ไทม์อุดมไปด้วยสารทายมอล (Thymol) มีสรรพคุณต่อต้านเชื้อโรคและจุลินทรีย์ (Antimicrobial Properties) ช่วยแก้อาการไอ เจ็บคอ บำรุงระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ ลดอาการท้องเสีย ช่วยเพิ่มความเจริญอาหาร อีกทั้งกลิ่นหอมๆ ของ ไทม์ ยังช่วยเพิ่มความผ่อนคลายและดีต่อระบบทางเดินหายใจอีกด้วย
ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไทม์ จึงนิยมนำไปปรุงอาหาร เมนูเนื้อสัตว์รูปแบบต่างๆ อาหารทะเล ไก่และปลา ไม่ว่าจะเป็นเมนูปิ้งย่าง สเต็ก สตูว์ หอยเชลล์อบเนย ไก่อบ หรือสปาเก็ตตี้ก็แนะนำว่าควรมีใบไทม์ใส่ไปด้วย โดยใบไทม์นั้นสามารถใช้ได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง และใช้ตกแต่งจานเป็นผักโรยหน้าอาหารฝรั่งด้วย
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของใบไทม์สามารถดูได้ลิ้งค์ด้านหลังนี้ ใบไทม์ สมุนไพรเครื่องเทศคู่ครัวอาหารตะวันตก
3. เบซิล โหระพาฝรั่ง (Basil)
เบซิล หรือ โหระพาฝรั่ง (Sweet Basil หรือบางทีอาจจะเรียกว่า Italian Basil) สมุนไพรที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกหนึ่งชนิด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum basilicum เป็นพืชในตระกูลเดียวกับมิ้นต์ (Lamiaceae) จัดเป็นพืชเขตร้อน ใบและลำต้นมีสีเขียว ใบของโหระพาฝรั่งนั้นจะมีความอ่อนนุ่มและขนาดใหญ่กว่าโหระพาของไทยแต่กลิ่นจะอ่อนและละมุนกว่า สามารถที่จะขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบใช้เมล็ดและการปักชำ เบซิลมีกลิ่นที่หอมโดดเด่นช่วยเพิ่มความน่ารับประทานของอาหาร นิยมทานแบบสดๆในสลัด และมักจะถูกนำไปปรุงในเมนูสปาเก็ตตี้ พาสต้า พิซซ่า หรือโดยเป็นส่วนประกอบหลักของซอสเพสโต (Pesto) ในอาหารอิตาเลียน รวมถึงเมนูอาหารทะเลต่างๆ
เบซิล อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารและสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ทั้งช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด ลดความอักเสบและฆ่าเบื้อแบคทีเรีย ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ อาการปวดท้อง รวมถึงช่วยให้จิตใจสงบและเพิ่มสมาธิได้เป็นอย่างดี
4. พาสลีย์ (Parsley)
พาสลีย์ เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง จัดปเนพืชล้มลุก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Petroselinum crispum พาสลีย์มีลักษณะคล้ายกับต้นผักชี รูปร่างสั้นๆ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีถิ่นกำเนิดในแถบทวีปยุโรป บริเวณแถบกลางเมดิเตอร์เรเนียน อาทิ ประเทศอิตาลี สเปน กรีก โปรตุเกส โมรอคโค และตูนีเซีย นิยมปลูกกันทั่วโลกและมีหลากหลายสายพันธุ์ โดย พาสลีย์ เป็นเครื่องเทศยอดฮิตในการนำไปประกอบอาหารเมนูต่างๆ ได้มากมายหลายเมนู ทั้งในอาหารยุโรป บราซิล ตะวันออกกลางและอาหารอเมริกัน ช่วยเพิ่มความหอมและดับกลิ่นคาว รวมถึงรสชาติที่ถึงเครื่องได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น พาสต้า กุ้งย่างเนย ผักทอด หอยแมลงภู่อบชีส กุ้งย่างกับพริกเม็กซิกัน เมนูสเต็ก ราวิโอลี่ หรือสปาเก็ตตี้ เป็นต้น ทั้งนี้พาสลีย์ยังถูกนิยมนำมาจัดตกแต่งจานอาหารเป็นผักโรยหน้าอาหารฝรั่งอีกด้วย
พาสลีย์ นั้นอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุมากมายหลากหลายชนิด เป็นผักใบเล็กเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ลดปัญหากลิ่นปาก ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง กระตุ้นการทำงานของระบบไตและดีต่อระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มไร้สิวอีกด้วย
5. ออริกาโน (Oregano)
ออริกาโน มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Origanum vulgare เป็นสมุนไพรพื้นเมืองที่ที่มีถิ่นกำเนิดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเขตอบอุ่นทางแถบตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของยูเรซีย จัดอยู่ในพืชตระกูลเดียวกับมิ้นต์ (Lamiaceae) เป็นเครื่องเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีประวัติพบการใช้ปรุงอาหารมานับพันปี ออริกาโนเป็นพืชล้มลุกแบบกึ่งเลื้อย ที่มีลักษณะเป็นพุ่มที่ขนาดเล็ก กลมๆ เป็นใบเดี่ยวและมีสีเขียว มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มักจะนำมาประกอบเมนูอาหารหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นการทำซอส เมนูสเต็ก พิซซ่า อาหารอิตาลีและเมนูผัก โดยส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้ออริกาโนแบบแห้งมากกว่ารูปแบบสด โดยออริกาโนนั้นมีประวัติเคียงคู่กับอาหารสไตล์อิตาเลียน-อเมริกันสมัยใหม่
ออริกาโน อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส วิตามินต่างๆ โปรตีนและสารอาหารมากมาย มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด บำรุงระบบย่อยอาหาร ลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อและข้ออักเสบ ช่วยเพิ่มสมาธิและผ่อนคลายสมอง รวมถึงลดอาการซึมเศร้า
สำหรับคนที่ชื่นชอบการปรุงอาหารฝรั่ง ต้องบอกเลยว่าเครื่องเทศที่เรานำมาฝากกันวันนี้เป็นเครื่องปรุงที่สำคัญ ชนิดที่ว่าขาดไม่ได้เพราะไม่เพียงจะช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับประทานแล้วยังสามารถนำมาตกแต่งอาหารให้ดูน่ากินยิ่งขึ้นอีกด้วยซึ่งทางร้านช้อนกลางเองก็ได้ใช้เครื่องเทศดังกล่าวในเมนูอาหารกล่องและข้าวกล่องของทางร้านแบบขาดไม่ได้เช่นกัน
สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับเครื่องเทศฝรั่ง ตอนที่ 2 ในด้านล่างนี้:
เครื่องเทศฝรั่ง เคล็ดลับความอร่อยสไตล์อาหารตะวันตก ตอนที่ 2
8 ชนิดข้าวที่นิยมทั่วโลก
ข้าวเป็นอาหารหลักของมนุษย์และคนไทยมาอย่างยาวนาน ทราบหรือไม่ว่าจริงๆแล้วข้าวเป็นพืชตระกูลเดียวกับหญ้า มีประวัติการปลูกเพื่อรับประทานมากว่าหลายพันปี หลายคนอาจสงสัยว่า ข้าวมีกี่ประเภท มีกี่ชนิด ซึ่งประเภทข้าวนั้นสามารถแบ่งได้หลายประเภท ได้แก่
- แบ่งประเภทข้าวตามที่สถานที่เพาะปลูก เช่น ข้าวไร่, ข้าวนาสวนหรือนาดำ และข้าวขึ้นน้ำหรือข้าวนาเมืองที่นิยมปลูกในอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท พิจิตร อ่างทอง ซึ่งเป็นพื้นที่ระดับน้ำสูงกว่า 80 เซนติเมตร
- แบ่งประเภทข้าวตามอายุการเก็บเกี่ยว ได้แก่ ข้าวนาปี ปลูกช่วงฤดูฝน และข้าวนาปรัง อายุการเก็บเกี่ยวข้าว ได้แก่ ข้าวเบา อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน, ข้าวกลาง 100-120 วัน และข้าวหนัก อายุเก็บเกี่ยว 120 วันขึ้นไป
- แบ่งประเภทข้าวตามรูปร่างเมล็ดข้าวสาร เช่น ข้าวเมล็ดสั้น, ข้าวเมล็ดยาวปานกลาง, ข้าวเมล็ดยาว และข้าวเมล็ดยาวมาก
ชนิดของข้าวที่เป็นที่นิยมทั่วโลกมีอะไรบ้าง
1 ข้าวป่ายักษ์ (Wild Rice)
ข้าวป่ายักษ์นั้นบางครั้งอาจเรียกว่า Canada rice หรือ Indian rice ข้าวป่ายักษ์ หรือ Wild Rice นั้นเป็นข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา มักปลูกในที่ราบลุ่มใกล้ทะเลสาบหรือแม่น้ำ โดยข้าวป่ายักษ์ในประเทศไทยจะนำเข้าจากอเมริกา ซึ่งในบ้านเราจะมีราคาค่อนข้างสูง ข้าวป่ายักษ์มีจุดเด่น คือ เมล็ดข้าวจะมีขนาดใหญ่เรียวยาวกว่าเมล็ดข้าวไทยแม้จะเป็นพันธุ์ข้าวสกุลเดียวกัน เมื่อหุงให้สุก เมล็ดข้าวป่ายักษ์จะงอขึ้นและเผยให้เห็นเนื้อสีขาวด้านใน รสสัมผัสและกลิ่นเมล็ดข้าวพันธุ์นี้จะค่อนข้างแตกต่างกว่าข้าวพันธุ์อื่นๆ เมล็ดข้าวมีสีม่วงเข้มรสชาติคล้าย ๆ ข้าวซ้อมมือ แต่มีรสสัมผัสของข้าวนุ่มนวลกว่า อุดมด้วยโปรตีน สารอาหารวิตามินเอ วิตามินบี 6 และใยอาหารที่เหมาะสำหรับร่างกายเป็นอย่างมาก หากได้ทานข้าวป่ายักษ์ราดกระเพราหมูกรอบร้อน ๆ สักจานคงจะอร่อยมากๆแน่นอน
2 ข้าวเมล็ดยาว (Long Grain Rice)
มาถึงข้าวเมล็ดยาว (Long-grain Rice) เป็นพันธุ์ข้าวที่มีลักษณะเรียวยาวสมบูรณ์แบบและมีสีขาว เป็นชนิดข้าวที่มีความหลากหลายมากที่สุด ซึ่งข้าวหอมมะลิและข้าวขาวที่นิยมในประเทศไทยก็จัดอยู่ในประเภทนี้ จุดเด่นคือความนุ่มละมุนลิ้น รับประทานง่าย เพราะขัดสีจนเป็นข้าวขาวคุณภาพดี สำหรับข้าวขาวนี้เหมาะกับการปรุงในทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็น การนำไปหุงร้อน ๆ รับประทาน หรือจะใช้ผัดหรือต้มก็ได้ทั้งนั้น ด้วยข้อดี คือ เมล็ดข้าวขาวสามารถเก็บได้ยาวนาน และรับประทานได้ทุกเวลาที่ต้องการจึงเป็นที่นิยมมาก ส่วนข้อเสียของข้าวขาวคือสารอาหารที่ถูกขัดสีออกไปในช่วงสีข้าวนั่นเอง
3 ข้าวแดง (Red Rice)
พันธุ์ข้าวที่มีเมล็ดสีแดงมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเช่นเดียวกับข้าวหอมมะลิ มีการขัดสีน้อย เช่น ข้าวพันธุ์มันปู พันธุ์สังข์หยด มีวิตามินสูงกว่า เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และอี พร้อมกับใยอาหารที่มีประโยชน์ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย เป็นข้าวที่ไม่นุ่มนวลเท่ากับข้าวหอมมะลิหรือข้าวขาว อาจใช้เวลาหุงให้สุกนานกว่าข้าวขาวปกติ แต่มีมากด้วยคุณประโยชน์ ได้แก่ ป้องกันโรคเหน็บชา ขับถ่ายง่ายขึ้น เหมาะสำหรับคนที่เป็นตะคริวบ่อย ๆ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมทั้งให้รสสัมผัสที่มากกว่า มีความเหนียวหนึบกว่าข้าวขาว สามารถรับประทานแบบผสมกับข้าวขาวก็อร่อยอีกแบบ หรือที่นิยมกันสามารถผสมกับข้าวหอมมะลิและข้าวกล้อง 3 อย่างเรียกว่า ข้าว 3 กษัตริย์
4 ข้าวนึ่ง หรือ ข้าวพาร์บอยล์ (Parboiled Rice)
สำหรับข้าวนึ่ง หรือ Parboiled Rice อ่านออกเสียงว่า พาร์บอยล์ไรซ์ เมล็ดข้าวมีความใสขัดรำออกแล้วโดยขั้นตอนการผลิตจะนำเมล็ดข้าวเปลือกมาแช่น้ำแล้วนึ่ง ทำให้แห้งก่อนสี เป็นข้าวที่มีโภชนาการสูงกว่าข้าวขาว มีวิตามินบี 1และวิตามินอีสูง มีความร่วนกว่าข้าวขาวหรือข้าวสวยและมีน้ำมันรำข้าวมากกว่า เป็นที่นิยมของคนไทยเช่นกัน หุงเสร็จจะมีสีเหลืองอ่อน ๆ และเมล็ดร่วนไม่ติดกัน หุงขึ้นหม้อ ซึ่งจะต้องใช้เวลาแช่ข้าวและเวลานึ่งข้าวที่เหมาะสม
5 ข้าวบาสมาตี (Basmati Rice)
ขึ้นชื่อว่า “หอม อร่อย” ต้องข้าวบาสมาตี ว่ากันว่าเป็นข้าวที่เป็นราชินีแห่งความหอม โดยกลิ่นหอมนี้มาจากการบ่มข้าว บางครั้งอาจเก็บข้าวบ่มไว้เป็นปีหลังเก็บเกี่ยว ข้าวชนิดนี้มีแหล่งกำเนิดจากประเทศอินเดีย และพบมากในประเทศอินเดีย ศรีลังกาและปากีสถาน มีเมล็ดเรียว ยาว อยู่ในกลุ่มเดียวกับข้าว Long-Grain Rice หุงขึ้นหม้อไม่เหนียวติดกัน นิยมประกอบอาหารเป็นข้าวหมกไก่ ข้าวหมกเนื้อ และแกงกะหรี่ต่างๆ ฯลฯ เมนูกับข้าวแบบอินเดียแท้ ๆ โดยเฉพาะการหุงข้าวบาสมาตีกับน้ำขมิ้นจะได้สีเหลืองนวล ขาวหอมๆ
6 ข้าวอาโบริโอ (Arborio Rice)
ข้าวอาโบริโอมีเมล็ดสั้น ดูกลมและอ้วนท้วมกว่าข้าวพันธุ์อื่น มีแหล่งกำเนิดที่ประเทศอิตาลี เป็นข้าวในกลุ่ม Short-Grain Rice อัดแน่นด้วยปริมาณแป้ง เริ่มแรกชาวอิตาเลียนหุงข้าวอาโบริโอ ในชื่อเมนูริซอตโต้ (Risotto) ที่ปรุงด้วยครีม ชีสพาร์มีซาน เนย คลุกเคล้าเข้ากับซุปเนื้อวัว ปลา หรือผัก หุงเสร็จตักรับประทานร้อน ๆ ตัวเมล็ดข้าวจะอมและอุ้มน้ำและกลิ่นของซอสหรือเครื่องแกงได้ดี ทำให้เวลาทานจะเข้าถึงครีมและรสของเครื่องปรุงได้เป็นอย่างดี รสสัมผัสของตัวข้าวจะค่อนข้างแข็งนิยมรับประทานในอาหารฝรั่งและอิตาเลียนเป็นหลัก
7 ข้าวกล้อง หรือ ข้าวซ้อมมือ (Brown Rice)
ลืมไม่ได้เลยสำหรับพันธุ์ข้าวยอดฮิตของคนไทยอย่างข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Brown Rice หรือ Unpolished Rice เป็นเมล็ดข้าวสีน้ำตาลอ่อนที่ไม่ได้ผ่านการขัดสีมากนัก และยังมีจมูกข้าวซึ่งเป็นส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุด มี texture มากกว่าข้าวขาวหรือข้าวหอมมะลิ เวลารับประทานจะรู้สึกแข็งกว่าข้าวขาว แต่มากด้วยคุณค่าทางอาหารมากกว่าและดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ช่วยในการลดความอ้วนเพราะข้าวกล้องย่อยได้ยากกว่าข้าวหอมมะลิหรือข้าวขาว เป็นผลมาจากการมีไฟเบอร์และกากใยที่สูงทำให้อิ่มท้องนาน ไม่หิวบ่อย จากการที่ข้าวกล่องจะค่อยๆถูกย่อยร่างกายจะค่อยๆดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีหลักจากรับประทาน ดีต่อผู้ที่ป่วยหรือผู้ที่อยากป้องกันโรคเบาหวาน ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ช่วยบรรเทาอาการเหน็บชา ป้องกันโรคปากนกกระจอก ช่วยทำให้กระดูก เม็ดเลือดแข็งแรง และบำรุงสมอง รับประทานทุกวันจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ข้าวกล้องมีข้อเสียคือเก็บรักษาได้ไม่นานนัก เพราะมีความชื้นสะสมง่าย ก่อให้เกิดเชื้อราในเมล็ดข้าวได้
8 ข้าวสีนิลหรือข้าวหอมนิล (Black Rice)
เมล็ดข้าวสีดำขลับมีเอกลักษณ์แบบธรรมชาติสรรค์สร้างอย่างข้าวสีนิล ข้าวหอมนิล หรือข้าวก่ำ ชื่อภาษาอังกฤษตรงตัวเลยว่า Black Rice มีเมล็ดเรียวยาว โดยสีที่เข้มของเมล็ดข้าวนั้นมาจาก สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ในตัวข้าวที่สูง สารแอนโทไซยานินนี้เป็นสารประกอบประเภทฟีนอลเป็นชนิดเดียวกับที่พบในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และดอกอัญชัญ มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ เวลาหุงเสร็จจะมีสีม่วงอ่อน ๆ ข้าวฟูนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ มากด้วยโปรตีน ธาตุเหล็กที่ร่างกายสามารถดูดซึมง่ายกว่าพันธุ์ข้าวทั่วไป ช่วยชะลอผมหงอกก่อนวัยอันควร ช่วยบำรุงสายตา การไหลเวียนเลือด มีการวิจัยพบว่าสามารถป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคเหน็บชา โลหิตจาง และหัวใจอัมพาตหรือหลอดเลือดอุดตัน ดังนั้น ข้าวสีนิล หรือข้าวหอมนิลนี้จึงเป็นข้าวที่ใช่สำหรับคนรักสุขภาพโดยแท้
เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่องราวที่เรานำมาแบ่งปันในบทความนี้ ไม่ทราบว่าพอจะทำให้ทุกท่านรู้จักกับชนิดของข้าวและพันธุ์ข้าวมากขึ้นหรือไม่ หากทุกท่านกำลังมองหาหรือต้องการสั่งข้าวกล่องและอาหารกล่องคุณภาพดี จัดส่งถึงที่ คัดเฉพาะข้าวพันธุ์ดีมาเสิร์ฟให้คุณเท่านั้น ทางร้านช้อนกลาง “ปรุงสดใหม่ สะอาด อร่อย” ยินดีให้บริการ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• http://www.ricethailand.go.th/rkb/varieties/index.php.htm
• https://ndb.nal.usda.gov/ndb/foods/show/20088?fgcd=&manu=&format=&count=&max=25&offset=&sort=default&order=asc&qlookup=20088&ds=&qt=&qp=&qa=&qn=&q=&ing=
• http://www.info.ru.ac.th/province/prachinburi/RiceForrest/rice.htm
• http://www.medifoodsco.com/2016/04/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7/
• http://www.cp-enews.com/news/details/cpnews/847
• http://www2.thaihealth.or.th/partnership/Content/7025-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%20%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html
• https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B5
• https://en.wikipedia.org/wiki/Arborio_rice
• http://www.jeamrice.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
• https://www.เกร็ดความรู้.net/ข้าวหอมนิล/
ทำความรู้จักกับ 8 เครื่องปรุงและเครื่องเทศไทย
เครื่องเทศไทยเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อาหารไทยมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีกลิ่นและรสชาติจัดจ้าน ถึงเครื่อง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นเอกลักษณ์ของเมนูอาหารไทยที่เราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากบรรดาเครื่องปรุงและเครื่องเทศต่างๆนั่นเองซึ่งเป็นแก่นของอาหารไทยไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ร้านอาหารระดับหรูมีระดับ ภัตตาคาร ร้านข้าวแกง ร้านข้าวกล่องและอาหารกล่องรวมไปถึงอาหารที่คนไทยปรุงกันที่บ้าน
วันนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 8 เครื่องปรุงและเครื่องเทศไทยยอดนิยม ที่เรานิยมนำมาปรุงอาหาร
1. ขิง
ขิงเป็นสมุนไพรเครื่องเทศรสชาติเผ็ดร้อน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber officinale ขิงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไฟเบอร์ ขิงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน แต่เรานิยมนำส่วนเหง้าของขิงซึ่งปกติจะอยู่ใต้ดินมาปรุงอาหารมากที่สุด
ประโยชน์ของขิง
ขิงช่วยแก้อาการเมารถหรือเมาเรือได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถลดอาการผมร่วง ท้องอืด ขับลม บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน ลดความเสี่ยงของการเกิดความดันโลหิตสูง ลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังมีสรรพคุณป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย
เมนูอาหารจากขิงที่เราพบได้บ่อย
หมูหรือไก่ผัดขิง ขิงดอง เต้าฮวยน้ำขิง หรือในน้ำจิ้มข้าวมันไก่
2. ข่า
ข่าเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกง่าย โตเร็วและมีอายุยืนยาว มีรสเผ็ดปร่าและมีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นหอมฉุน สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหารได้หลากหลายและเป็นยารักษาโรค นอกจากนี้คนไทยยังนิยมนำหน่อของข่ารวมทั้งดอกข่ามาทำเป็นผักสำหรับกินแกล้มอีกด้วย
ประโยชน์ของข่า
ข่ามีสรรพคุณบรรเทาอาการผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย แก้ท้องอืด ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดอาการอักเสบและโรคผิวหนังได้ดี
เมนูอาหารจากข่าที่เราพบได้บ่อย
ต้มยำ ต้มแซ่บ ต้มข่าไก่ หอยแมลงภู่อบหม้อดินต้มยำ
3. ตะไคร้
ตะไคร้เป็นสมุนไพรไทยกลิ่นหอมเนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณเฉพาะตัว จึงถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังใช้เป็นเครื่องเทศไทยตกแต่งกลิ่นและรสของอาหารให้น่ารับประทาน
ประโยชน์ของตะไคร้
ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนี้สารเคมีในตะไคร้ยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร ตับ ตับอ่อน และไต ทำให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมนูอาหารจากตะไคร้ที่เราพบได้บ่อย
น้ำตะไคร้ ต้มยำ พล่า ลุยสวน ยำ
4. ใบมะกรูด
มะกรูดเป็นไม้ยืนต้น ปลูกง่าย สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งส่วนผลและใบ ผลมะกรูดมีลักษณะขรุขระ ผิวมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย ส่วนใบมีสีเขียวแก่เป็นมัน ค่อนข้างหนาและมีกลิ่นหอมเช่นกัน
ประโยชน์ของมะกรูด
ใบมะกรูดอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและสารอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยรักษาอาการช้ำใน บรรเทาอาการไอ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง และช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย
เมนูอาหารจากใบมะกรูดที่เราพบได้บ่อย
ต้มยำ แกงเขียวหวาน แกงป่า
5. พริก
พริกเป็นเครื่องเทศรสเผ็ดจัดจ้าน ซึ่งพริกมีหลายสายพันธุ์ก็มีทั้งรสชาติและระดับความเผ็ดแตกต่างกันออกไป พริกที่นิยมนำมาปรุงอาหารในประเทศไทยของเรา คือ พริกชี้ฟ้าและพริกขี้หนู
ประโยชน์ของพริก
พริกช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและลดคลอเลสเตอรอล ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันมะเร็ง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ พริกนั้นช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย
เมนูอาหารจากพริกที่เราพบได้บ่อย
ยำ ต้มยำ ผัดและแกงต่างๆ ผัดพริกขิง อาหารจานเดียวต่างๆ น้ำยำ น้ำจิ้ม
6. กระเทียม
กระเทียมมีกลิ่นฉุน รสเผ็ดร้อน คนไทยจึงนิยมนำกระเทียมมาปรุงอาหารเป็นเครื่องเทศเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ อีกทั้งยังแต่งกลิ่นและรสของอาหารอีกด้วย สามารถพบได้ในเกือบทุกเมนูอาหารไทย
ประโยชน์ของกระเทียม
กระเทียมสดช่วยรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน หากรับประทานจะช่วยบรรเทาอาการโรคบิด แก้ไอ บรรเทาอาการไข้หวัด ลดความดันโลหิตในร่างกาย
เมนูอาหารจากกระเทียมที่เราพบได้บ่อย
ทอดกระเทียมพริกไทย ข้าวผัด ผัดประเภทต่างๆ แกงจืด เมนูหมักย่าง ปลานึ่งมะนาวหรือนึ่งซีอิ๊ว น้ำยำและน้ำจิ้มซีฟู้ด
7. รากผักชี
รากผักชีคืออีกหนึ่งสมุนไพรเครื่องเทศที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน มักใช้ร่วมกับกระเทียม พริกไทย เรียกอีกอย่างว่า สามเกลอ หรือสามสหาย มีกลิ่นหอม ช่วยแต่งกลิ่นอาหารได้ดี
ประโยชน์ของรากผักชี
รากผักชีมีสรรพคุณช่วยขับลม ขับปัสสาวะ บำรุงและรักษาสายตานอกากนี้ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แก้หวัด แก้ไอ บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
เมนูอาหารจากรากผักชีที่เราพบได้บ่อย
รากผักชีโขลกกับเครื่องแกง กุ้งอบวุ้นเส้น หรือทำไส้ขนมไทย เช่น ปั้นสิบ สาคูไส้หมู ไส้ปลา เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้หมักเนื้อสัตว์ร่วมกับกระเทียม พริกไทย และใช้ต้มน้ำซุปทั้งแกงจืดหรือพะโล้ น้ำยำและน้ำจิ้มซีฟู้ด
8. พริกไทย
พริกไทยได้รับสมญานามว่าเป็นราชาแห่งเครื่องเทศ เป็นสมุนไพรที่ใช้ดับกลิ่นคาวได้ดี มีกลิ่นหอมและรสชาติเผ็ดร้อน สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสด แห้ง และนำไปทำพริกไทยป่นสำหรับโรยหน้าอาหาร
ประโยชน์ของพริกไทยดำ
พริกไทยมีสรรพคุณในการรักษาโรคหลายอย่าง เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ออกฤทธิ์แก้ปวด แก้อักเสบ แก้อาการจุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย แก้อ่อนเพลีย และช่วยแก้ไข้ได้ดี นอกจากนี้กลิ่นหอมฉุนของพริกไทยยังช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวอีกด้วย
เมนูอาหารจากพริกไทยที่เราพบได้บ่อย
สเต็กพริกไทยดำ ใช้เป็นเครื่องปรุงสำหรับหมักเนื้อสัตว์ ทอดกระเทียมพริกไทย ซอสพริกไทยดำ ใช้ปรุงกลิ่นและรสให้กับอาหารคาวได้อีกหลายชนิด เช่น โรยหน้าต้มจืด ข้าวผัด เป็นต้น
เครื่องปรุงและเครื่องเทศสไตล์ไทยสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู โดยให้ทั้งกลิ่น รสชาติ รวมถึงความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด สมุนไพรไทยยังมาพร้อมกับประโยชน์ดีๆ ต่อร่างกายอีกด้วย
ในบทความต่อไปนั้นหลังจากเราทำความรู้จักกับเครื่องเทศไทยแล้ว เราจะพาไปรู้จักกับ เครื่องเทศสไตล์ตะวันตก หรือ เครื่องเทศฝรั่ง
เครื่องเทศฝรั่ง เคล็ดลับความอร่อยสไตล์อาหารตะวันตก ตอนที่ 1
เมนูข้าวกล่องยอดนิยมของคนไทย
วันนี้ทางทีมงานร้านช้อนกลางได้รวบรวมเมนูข้าวกล่อง อาหารกล่องยอดนิยมตลอดกาลของคนไทยที่มักจะสั่งกันตลอดแทบทุกโอกาส และที่น่าประทับใจคือเมนูข้าวกล่องเหล่านี้ เราคุ้นชินกันมากๆตั้งแต่เล็กจนโต ทานได้ตลอดไม่มีเบื่อ มีการสั่งไม่ว่าจะเป็นโอกาสไหน งานอะไร ตั้งแต่ งานกิจกรรมโรงเรียน ทัศนศึกษา กิจกรรมมหาวิทยาลัย งานกีฬาสี เรื่อยมาจนช่วงอายุทำงานทั้งงานประชุม สัมมนา งานเลี้ยงบริษัท หรืองานอีเว้นท์ ไปจนถึงงานครอบครัว อาทิ งานจัดเลี้ยง งานบุญหรืองานสวดอภิธรรมจนเรียกได้ว่าข้าวกล่องหรืออาหารกล่องกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราไปแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว ด้วยประสบการณ์รับทำข้าวกล่องและอาหารกล่องมาอย่างยาวนาน ไปดูกันเลยว่าเมนูข้าวกล่อง อาหารกล่องที่มักสั่งกันตลอดมีอะไรกันบ้าง
1 ผัดกะเพรา
เรียกได้ว่าเป็นเมนูประจำชาติของไทย เป็นเมนูข้าวกล่องยอดฮิตอันดับหนึ่งตลอดกาล มากกว่าผัดไทยที่ชาวต่างชาติเข้าใจกันเสียอีก สำหรับเมนูผัดกะเพราไม่ว่าจะเป็นกะเพรา ไก่ หมู เนื้อ ที่มีการสั่งในทุกโอกาสจริงๆเนื่องจาก รสชาติจัดจ้าน กลมล่อม ทานง่าย ทานเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ถูกปากคนไทย ทานได้ทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ถือเป็นอีกเมนูที่คนไทยมักคิดถึงอันดับต้นๆเมื่ออยู่ไกลบ้านต่างแดน เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ในการสั่งข้าวกล่องหรืออาหารกล่องแทบจะทุกครั้งมักจะมีผัดกะเพราไปด้วยเสมอโดยเมนูนี้มักสั่งทานคู่กับไข่ดาว
2 ข้าวผัด
ข้าวผัดเป็นอีกเมนูข้าวกล่องที่ติดชารต์ยอดนิยมเนื่องจากทานง่าย ทานได้ทุกเพศทุกวัย โดยเมนูขายดีแบบเบสิคจะเป็นข้าวผัดไก่และข้าวผัดหมู รวมถึงข้าวผัดแหนม ข้าวผัดกุนเชียง ข้าวผัดมันกุ้ง ข้าวผัดน้ำพริกเผา ข้าวผัดหมูหรือเนื้อเค็ม ข้าวผัดอเมริกัน อีกข้อดีของข้าวผัดคือสามารถขนส่งง่ายเพราะว่าเป็นอาหารที่ไม่มีน้ำ ยากที่จะหกเลอะเทอะออกมานอกกล่อง ทำให้เราจะเห็นข้าวกล่องอาหารกล่องเมนูนี้เป็นประจำ โดยคู่ของเมนูนี้คือน้ำปลาพริก ต้นหอมและแตงกวา รับรองว่าเข้ากันดีสุดๆ
3 หมูหรือไก่ ผัดกระเทียม
ด้วยรสชาติที่ออกกลางๆ กลมกล่อม ไม่เผ็ด เด็กๆ ผู้สูงอายุและคนไม่ทานรสชาติจัดสามารถทานได้ ทำให้เมนูนี้มักจะถูกเลือกในออเดอร์ข้าวกล่องอาหารกล่องมาด้วยเช่นกัน และมักถูกสั่งพร้อมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวแบบไทยๆ
4 ผัดน้ำพริกเผา
ผัดน้ำพริกเผาเป็นเมนูข้าวกล่องโปรดของใครหลายๆคน โดยเฉพาะเมนูไก่ผัดน้ำพริกเผาและหอยลายผัดพริกเผา ซึ่งเมนูข้าวนี้หาทานได้ทั่วไปเนื่องจากได้รับความนิยมสูงมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะในร้านตามสั่ง ร้านข้าวแกง ร้านอาหารกล่อง โดยคนส่วนใหญ่มักสั่งคู่กับไข่เจียวเนื่องจากไปด้วยกันได้ดีมากๆ หรือเมนูข้าวผัดน้ำพริกเผาก็เป็นอีกเมนูผัดน้ำพริกเผาที่ขายดีเช่นกัน เมนูนี้เครื่องปรุงที่ให้รสชาติโดดเด่นหอมอร่อยเป็นเอกลักษณ์จะต้องเลือกน้ำพริกเผาคุณภาพดีและโหระพาที่สดจะให้กลิ่นที่หอมมาก
5 ยำ ไก่/หมู มะนาว
เป็นเมนูข้าวกล่องอาหารกล่องที่ชื่นชอบสำหรับมื้อที่ต้องการอาหารรสจัดจ้าน จี๊ดจ๊าด จานโปรดของคนส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น ยำไก่ หรือยำหมู หรือ ไก่/หมูมะนาวทานคู่กับน้ำยาที่มีส่วนผสมหลักจาก พริก กระเทียม รากผักชี มะนาวและน้ำปลา แซ่บมากแบบไทยๆโดยอาจะมีเครื่องเคียงเป็นผักต่างๆเช่น กะหล่ำปลีหรือคะน้า
6 ผัดผักรวม
ผัดผักรวมเป็นเมนูมักสั่งกันบ่อย ทั้งอร่อยและได้ประโยชน์ ส่วนผสมนั้นมีหลากหลายขึ้นอยู่กับฤดูกาล สูตรของแต่ละร้าน งบประมาณ และความชอบของลูกค้า ผักยอดนิยมที่นำมาปรุงกันบ่อย ส่วนใหญ่จะเป็นผักกะหล่ำปลี แครอท คะน้า บล๊อคโคลี่ ข้าวโพดอ่อน เห็ดหอม และอาจใส่เนื้อสัตว์ อาทิ ไก่ หมู หรือ กุ้งตามแต่ความต้องการ
7 ไข่เจียวหมูสับ
เมนูข้าวกล่องที่ง่ายแต่อร่อย มักเลือกใช้สำหรับงานที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการเก็บอาหารไว้เป็นเวลานานหรืองานจัดเลี้ยงคนจำนวนมากๆ เช่น งานกีฬาสีโรงเรียน งานวิ่งมาราธอน ซอสที่มักไปด้วยกันมักมี 2 อย่างคือซอสพริกภูเขาทองและพริกน้ำปลา
8 ผัดพริกแกง
เป็นเมนูที่ถูกใจใครหลายๆคน มีให้เห็นทุกที่ทั้งร้านข้าวแกงและฟู้ดคอรท์ แม้สีสันอาจจะดูร้อนแรงซักนิดแต่ด้วยความที่รสชาติจัดจ้าน ติดออกหวานนิดหน่อย จึงถูกปากคนไทยตลอดมา โดยผัดพริกแกงจะประกอบด้วยการผัดเนื้อสัตว์พริกแกง ใบมะกรูด และถั่วฝักยาว
สำหรับคุณลูกค้าที่กำลังมองหาหรือสนใจข้าวกล่อง อาหารกล่องพร้อมบริการเดลิเวอรี่ (Delivery) ของร้านช้อนกลาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งอาหารได้ทาง
064-423-2624
@chonklang (มี@ด้านหน้า)
สำหรับคุณลูกค้าที่ต้องการดูข้อมูลเกี่ยวกับข้าวกล่องเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้หน้าแรกตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
10 เทคนิคการสั่งข้าวกล่อง อาหารกล่องสำหรับงานต่างๆและโอกาสพิเศษ
10 เทคนิคการสั่งข้าวกล่อง
ในช่วงระยะหลังมานี้ ความต้องการข้าวกล่องและอาหารกล่องเดลิเวอรี่ (Delivery) สำหรับองค์กรหรือสำหรับจัดงานในโอกาสพิเศษมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สำหรับลูกค้าท่านใหม่ๆ มักประสบปัญหา ไม่ทราบว่าควรสั่งอาหารกล่องสำหรับงานพิเศษต่างๆอย่างไรดี อาทิ งานประชุมสัมมนาของบริษัท งานอีเวนท์ต่างๆ รวมไปถึงงานทำบุญ งานวัด หรืองานภายในครอบครัว
ดังนั้นวันนี้ทางทีมงานช้อนกลางจึงได้รวบรวมเทคนิคต่างๆจากประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางในการสั่งข้าวกล่องและอาหารกล่องดังนี้ครับ
1 เลือกเมนูหลากหลาย
ควรเลือกเมนูที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถเลือกทานได้ บางท่านอาจจะแพ้หรือเลี่ยงไม่ทานเนื้อสัตว์บางประเภท ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่หลากหลายเช่น เมนูไก่ หมู ปลา และอาหารทะเล รวมทั้งเลือกเมนูรสชาติที่หลากหลาย ผสมกันทั้งรสจัดและไม่จัดบ้าง และควรเลือกเมนูที่ทานง่ายด้วยเช่นกัน
2 หลากหลายแต่ต้องไม่มากจนเกินไป
การเลือกเมนูที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากจำนวนเมนูมากจนเกินไปอาจทำให้คุณผู้จัดปวดหัวได้ หลายครั้งที่งานที่มีผู้ร่วมประชุมมากๆเกิดปัญหาการแย่งอาหารกล่องภายในงาน ดังนั้นวิธีที่ดีคือเลือกจำนวนเมนูอาหารไม่มากเกินไป ไอเดียหนึ่งที่ดีที่ผู้จัดงานที่มีประสบการณ์เลือกใช้กันก็คือ การเลือกซัก 3-4 เมนู เช่น เลือกเมนูไก่ หมู ปลา อย่างละหนึ่งเมนู ผสมกันระหว่าง อาหารรสจัดหรือเผ็ดและรสอ่อน วิธีนี้คุณลูกค้าที่จัดงานใหญ่ๆเป็นหลายร้อยหรือหลายพันที่ก็ใช้วิธีนี้เช่นกันเนื่องจากบริหารจัดการง่ายและสามารถลดปัญหาผู้ร่วมงานแย่งเมนูกันเนื่องจากเมนูหลากหลายเกินไป
3 รสชาติและหน้าตาของอาหาร
รสชาติและหน้าตาของอาหารเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากผู้สั่งอาหารต้องรับผิดชอบถึงผลลัพท์ของงานรวมทั้งคอมเม้นท์ของผู้ร่วมงาน ถ้าผลลัพท์ดีผู้จัดก็จะได้รับเครดิตที่ดีไปด้วย แต่กลับกันหากอาหารรสชาติไม่ดี ไม่สะอาด ไม่มีคุณภาพ งานที่ดีๆอาจกลับกลายเป็นแย่ได้เช่นกัน
4 งบประมาณ
ถ้าผู้จัดงานมีงบประมาณต่อหัวเป็นแนวทางจะสามารถสั่งอาหารได้ง่ายขึ้น อาจเลือกอาหารที่ราคาสูงและต่ำผสมกันเพื่อควบคุมงบประมาณให้อยู่ในงบที่กำหนดไว้
5 เลือกร้านที่ไว้ใจได้ น่าเชื่อถือ
การเลือกร้านที่ไว้ใจได้เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะได้อาหารที่สั่งจะมาส่งตามจำนวน วันและเวลาจริงๆ การเลือกสั่งอาหารกล่องหรือข้าวกล่องจากร้านที่เป็นรูปแบบบริษัทสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผิดพลาด ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากว่าการเลือกร้านเล็กๆ โดยเฉพาะงานใหญ่ๆหรืองานสำคัญ
6 สั่งล่วงหน้า
การทราบและสั่งอาหารล่วงหน้าช่วยลดภาระให้กับผู้สั่งและร้านได้เป็นอย่างดี ทั้งในแน่การเตรียมงาน จองคิวอาหาร จองคิวรถโดยเฉพาะงานใหญ่ๆ คุณอาจจะติดต่อร้านเพื่อคอนเฟิรม์ออเดอร์อีกครั้งในวันก่อนจัดงานจะช่วยเพิ่มความมั่นใจอีกทางหนึ่ง
7 บรรจุภัณฑ์ดี
การเลือกร้านที่บรรจุภัณฑ์ข้าวกล่องและอาหารกล่องดี ไม่รั่วซึม แข็งแรง ไม่บุบง่ายจะดีกว่า หลายครั้งที่ผู้จัดงานอาจจะเจอปัญหากับข้าวที่มีน้ำรั่ว นองสกปรกจากกล่องอาหารที่ไม่ดี หรือ กับข้าวที่แพคใส่รวมบนข้าวมาเลย ทางทีมงานแนะนำว่าควรนัดแนะกับร้านให้ดีก่อนว่ากล่องอาหารที่จะใช้ในงานนั้นเป็นอย่างไร การที่อาหารมาส่งที่งานแล้วเลอะเทอะคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
8 บริการจัดส่ง
หากทางผู้สั่งอาหารไม่สะดวกที่จะรับอาหารไปจัดงานเอง ควรสอบถามทางร้านก่อนว่ามีบริการจัดส่งข้าวกล่องหรืออาหารกล่องแบบเดลิเวอรี่ (Delivery) หรือไม่ และลักษณะการจัดส่งเป็นอย่างไร รถที่ใช้เป็นลักษณะไหน เพื่อป้องกันการจัดส่งล่าช้า อาหารเย็นในกรณีไม่มีกล่องเก็บอุณหภูมิ หรือ ป้องกันอาหารช้ำ ปัญหาที่พบบ่อยคือพนักงานของร้านส่งเองและพ่วงออเดอร์ไปจำนวนมากเพื่อประหยัดค่าจัดส่ง หรือ อัดอาหารเต็มคันรถโดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ทำให้ส่งอาหารช้าและอาหารบอบช้ำเสียหาย
9 นัดแนะผู้สั่งและผู้ที่จะรับ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในหลายๆงาน มักพบปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างผู้สั่งอาหารที่อาจไม่ใช่ผู้รับอาหารเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดเหตุการณ์รออาหารทั้งๆที่อาหารได้มาส่งแล้ว หรือ เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานแจ้งให้จัดวางข้าวกล่องหรืออาหารกล่องผิดตึกหรือผิดห้องประชุมที่มักพบในบริษัทใหญ่ๆที่มีหลายโซน ทางเราขอแนะนำว่าควรปรึกษาและนัดแนะผู้ที่จะรับอาหารให้ดี หรือแจ้งให้ผู้รับโทรติดต่อผู้สั่งอาหารเมื่ออาหารไปถึงเพื่อป้องกันความสับสนหรือผิดพลาดได้ รวมทั้งตรวจสภาพและจำนวนของอาหารเมื่อไปถึง
10 ต้องการใบกำกับภาษีหรือไม่
เป็นคำถามยอดฮิตของคุณลูกค้าองค์กร ทั้งนี้เพื่อความถูกต้องและง่ายต่อการทำเบิกจ่ายและไม่มีปัญหาภายหลัง ควรเลือกร้านที่สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ อาจขอเอกสารรับรองของบริษัทและใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) เพื่อตรวจสอบกับเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ว่าร้านที่คุณเลือกนั้นสามารถออกใบกำกับภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่ หลายครั้งที่จะเจอปัญหาร้านที่เคยจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้แต่ไม่ต่ออายุ ทำให้มีปัญหาเรื่องภาษีย้อนหลังได้